HooSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 124 จุด ดัชนี S&P 500 ควง Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างวัน ขานรับเฟดกลับมาผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ด้านหุ้นเทคพุ่งแรง หลัง Nvidia ทุ่ม 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลงทุน Intel “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยโรป” ปิดบวก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 18 กันยายน 2568 และดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดบวก หลังจากทำสถิติสูงสุดใหม่( all-time high)ระหว่างวัน ขานรับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)กลับมาผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง และส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทำให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้น
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 46,142.42 จุด เพิ่มขึ้น 124.10 จุด, +0.27%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,631.96 จุด เพิ่มขึ้น 31.61 จุด, +0.48%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,470.73 จุด เพิ่มขึ้น 209.40 จุด, +0.94%
ดัชนี Nasdaq เป็นผู้นำในการปรับขึ้น จากการที่ Nvidia ทุ่มเงิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลงทุนใน Intel ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
หุ้นขนาดเล็กได้รับแรงหนุนมากที่สุด จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ส่งผลให้ดัชนีหุ้นขนาดเล็ก Russell 2000 เพิ่มขึ้น 2.4% และแตะระดับสูงสุดระหว่างวัน บริษัทขนาดเล็กมักพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกเพื่อการดำเนินงานและการเติบโตมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินสดมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทเหล่านี้ยังเชื่อมโยงกับวัฏจักรเศรษฐกิจมากกว่าหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่บางแห่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการปรับขึ้นของตลาดเช่นกัน หุ้น Intel พุ่งขึ้น 22.8% และเป็นการปรับขึ้นรายวันที่ดีที่สุดของ Intel ในรอบเกือบ 38 ปี หลังจาก Nvidia ประกาศว่าจะลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทผู้ผลิตชิปรายนี้เพื่อร่วมพัฒนาศูนย์ข้อมูลและชิปพีซี หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 3.5%
ในภาพรวม นักลงทุนเลิกลังเลซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งตลาดไว้ในช่วงแรกหลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่อวันพุธ แม้ว่าการคาดการณ์ดอกเบี้ยหรือ dot plot ของเฟดจะส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปี 2025 แต่ความเห็นของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ที่ว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงและตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่มีความเสี่ยง กลับบั่นทอนความเชื่อมั่น
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนมองว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนตุลาคมและธันวาคมครั้งละ 0.25%
Investment Institute สถาบันการลงทุนของ Wells Fargo ปรับเพิ่มมุมมองดัชนี S&P 500
โดยอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเศรษฐกิจและแนวโน้มผลประกอบการ ว่าปิดสิ้นปีนี้ที่ระดับ 6,600 ถึง 6,800 จุด เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 6,300 ถึง 6,500 จุด สำหรับปี 2026 คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 น่าจะปิดตลาดในช่วง 7,400 ถึง 7,600 จุด ก่อนหน้านี้ ทีมงานคาดการณ์ว่าจะปิดตลาดในช่วง 6,900 ถึง 7,100 จุด
แม้ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ในวันพฤหัสบดียังแสดงให้เห็นถึงสัญญาณความตึงเครียดในตลาดแรงงาน แต่จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานลดลงหลังจากพุ่งสูงขึ้น 264,000 ราย ในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีโดยกระทรวงแรงงานรายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 33,000 ราย มาที่ 231,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่า 241,000 ราย ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
นักลงทุนให้ความสนใจกับการเจรจาที่รอคอยกันอย่างมากระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ซึ่งกำหนดไว้ในวันศุกร์นี้ ทรัมป์ระบุว่าข้อตกลง TikTok ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว และเสริมว่าเขากำลังผลักดันความคืบหน้าในประเด็นอื่นๆ ที่กว้างขึ้น เช่น ภาษีศุลกากร
ตลาดหุ้นยุโรปปิดเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จากการฟื้นตัวด้วยแรงหนุนของผู้ผลิตชิป ประกอบกับการกลับมาดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อีกครั้ง ขณะที่ SIG ร่วงลงหลังจากมีคำเตือนเกี่ยวกับผลกำไร
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 555.01 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด, +0.80%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,228.11 จุด เพิ่มขึ้น 19.74 จุด, +0.21%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,854.61 จุด เพิ่มขึ้น 67.63 จุด, +0.87%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,674.53 จุด เพิ่มขึ้น 315.35 จุด, +1.35%
หุ้น SIG Group กลุ่มบรรจุภัณฑ์สัญชาติสวิสร่วงลง 24.3% หลังจากที่ประกาศเตือนผลกำไรสำหรับปี 2025 และระงับการจ่ายเงินปันผล
ดัชนีเทคโนโลยีโดยรวมเพิ่มขึ้น 4.1% เป็นผู้นำในการปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน
ภาคส่วนนี้ได้รับแรงหนุนจากหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ของยุโรป ซึ่งพุ่งสูงขึ้นสอดคล้องกับหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากที่ Nvidia บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ประกาศแผนการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel คู่แข่งที่กำลังประสบปัญหา
BE Semiconductor ของยุโรปพุ่งขึ้น 7.9% ขณะที่ ASML และ ASMI ผู้ผลิตอุปกรณ์พุ่งขึ้น 7.7% และ 8.7% ตามลำดับ
นอกจากนี้ การปรับขึ้นได้รับการสนับสนุนจากการตัดสินใจของเฟดเมื่อวันพุธที่ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งถือเป็นการผ่อนคลายนโยบายครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐฯ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม
ในยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คงอัตราดอกเบี้ยหลักไว้ที่ 4% หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่อเดือนที่แล้ว
ธนาคารกลางนอร์เวย์เดินตามแนวทางของเฟดในการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% โดยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ ในอนาคต
หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในภาพรวมที่เพิ่มขึ้น 1.8% และดัชนีผู้ผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 1.2% ก็มีส่วนทำให้ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
หุ้น Novo Nordisk บริษัทยาสัญชาติเดนมาร์กพุ่งขึ้น 6.2% เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มของบริษัท หลังจากการประชุมสำคัญเกี่ยวกับโรคเบาหวานที่จัดขึ้นที่
กรุงเวียนนาในสัปดาห์นี้
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 48 เซนต์ หรือ 0.75% ปิดที่ 63.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 51 เซนต์ หรือ 0.75% ปิดที่ 67.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–
- Facebook iconFacebook
- Twitter iconTwitter
- LINE iconLine
